วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

ที่มากฏหมายตราสามดวง

ที่มาของกฎหมายตราสามดวง

 การทำความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาของกฎหมายตราสามดวงนั้น ควรเข้าใจความหมายของคำว่า “กฎหมาย” ก่อน ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของกฎหมายว่า“กฎที่สถาบันหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐตราขึ้น หรือที่เกิดขึ้นจากจารีตประเพณีอันเป็นที่ยอมรับนับถือ เพื่อใช้ในการบริหารประเทศ เพื่อใช้บังคับบุคคลให้ปฏิบัติตา ม หรือเพื่อกำหนดระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างบุคคลกับรัฐ” ดังนั้นที่มาของตัวบทกฎหมายต่างๆ ที่ใช้กันมานานกว่า ๔๐๐ ปีในสังคมไทย และได้นำมาประมวลไว้ในกฎหมายตราสามดวง จึงสะท้อนความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของไทย ในสมัยอยุธยากฎหมายไทยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย โดยผ่านมาทางมอญ คือ “คัมภีร์พระธรรมศาสตร์” ซึ่งมอญเรียกว่า “คัมภีร์ธัมมสัตถัม” คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อว่ามิได้เกิดขึ้นจากสติปัญญาของ มนุษย์ แต่เป็นผลงาน ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้เป็นหลักในการอำนวยความยุติธรรมของพระมหากษัตริย์ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้เผยแพร่ไปในดินแดนต่างๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งกฎหมายของอยุธยาที่ได้มีการประกาศใช้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๑๙๑๒) ก็ได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เช่นกัน และได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายลักษณะต่างๆ หลายครั้งในรัชกาลต่อๆ มา รวมทั้งมีการตรากฎหมายใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย กฎหมายต่างๆ ที่เป็นการสืบสาขาคดี โดยยึดมูลคดีตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นหลักนั้น เรียกว่า “พระราชศาสตร์” ขณะเดียวกันพระมหากษัตริย์ไทยแต่ละพระองค์ก็ได้ทรงออกกฎเกณฑ์ต่างๆ ในการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินตามความจำเป็นและเหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องนอกเหนือไปจากที่มีกำหนดไว้ ในมูลคดีตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ รวมถึงการวินิจฉัยคดีความต่างๆ รวบรวมเป็นกฎหมายของแผ่นดินอีกส่วนหนึ่ง เรียกว่า “พระราชนิติศาสตร์ หรือพระราชนิติคดี” ดังนั้นตัวบท กฎหมายต่างๆ ในกฎหมายตราสามดวงจึงเป็นทั้ง “พระธรรมศาสตร์” และ “พระราชศาสตร์” และ “พระราชนิติศาสตร์ หรือ พระราชนิติคดี” ผสมผสานกันโดยมีคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์เป็นแกนหลักที่สำคัญ เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสื่อมอำนาจและสิ้นสุดลงใน พ.ศ. ๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชได้ทรงกอบกู้ชาติจนได้รับอิสรภาพกลับคืนมา และทรงเร่งบูรณะฟื้นฟูบ้านเมืองตลอดระยะเวลา ๑๕ ปี จนกระทั่งถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งเป็นการเริ่มต้นสมัยรัตนโกสินทร์ พระองค์ก็ได้ทรงทำนุบำรุงประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะสรรพวิชาการความรู้ต่างๆ ที่ขาดตอนไป เนื่องจากการเสียกรุงศรีอยุธยาดังกล่าวมาแล้ว

ที่มา http://guru.sanook.com/encyclopedia

กฎหมายครอบครัว

กฎหมายครอบครัว(มรดก)
                ถ้าพูดถึงเรื่องกฎหมายครอบครัวมีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน เพราะคนเราเกิดมาก็ต้องมีครอบครัวหรือมีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวกันหมดทุกคน
 เช่น คนเราเกิดมาก็ต้องมีพ่อแม่ , มีการสมรส , มีการหมั้น , มีการรับรองบุตร , มีการทำพินัยกรรม ,มีการจัดการมรดก , การปกครองบุตร , ทรัพย์สินระหว่างสามีและภรรยา ฯลฯ

                ดังนั้นเราจึงควรศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวไว้บ้าง ถ้าเกิดมีปัญหาจะได้แก้ไขได้ถูก ยกตัวอย่างเรื่องของ มรดก
 มรดก หมายถึง ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่างๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้
 (มาตรา 1599* เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท
 ทายาทอาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้แต่โดยบทบัญญัติแห่งประมวล กฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  และมาตรา 1600* ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
 กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิ
 หน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ )

มีคนถามว่า มรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อใด     มรดกจะตกถึงทายาท เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย  กองมรดกของเจ้าของมรดกจะตกทอดกับทายาทโดย
 สิทธิตามกฎหมาย หรือโดยพินัยกรรม
            กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แบ่งทายาทออกเป็น 2 ประเภท กล่าวคือ ทายาทโดยธรรมซึ่งเป็นทายาทที่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย

        บุคคลที่จะเป็นทายาทซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกนั้น ถ้าเป็นทายาทโดยธรรมต้องเป็นบุคคลธรรมดา และบุคคลธรรมดาที่จะเป็นทายาทได้ต้องมีสภาพบุคคล
ซึ่งสภาพบุคคลนี้ย่อมเริ่มมีขึ้นตั้งแต่เมื่อบุคคลนั้นได้คลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารก

ทายาทโดยธรรมซึ่งมีสิทธิได้รับมรดก ได้แก่
1. ผู้สืบสันดาน คือ ลูก หลาน เหลน ลื้อ
2. บิดามารดา
3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
4. พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
5. ปู่ ย่า ตา ยาย
6. ลุง ป้า น้า อา
7. คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งการแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างทายาทโดยธรรมจะต้องมีการลำดับและชั้นต่าง ๆ 
        ส่วนประเภทที่ 2 ทายาทโดยพินัยกรรม คือ ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกเพราะพินัยกรรมกำหนดไว้ ซึ่งอาจจะเป็นทายาทโดยธรรมหรือบุคคลภายนอกก็ได้       
(ตาม มาตรา 1603 กองมรดกย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยสิทธิตาม กฎหมายหรือโดยพินัยกรรม ทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมาย เรียกว่า "ทายาทโดยธรรม" ทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม เรียกว่า "ผู้รับพินัยกรรม")
เมื่อเจ้ามรดกตายลงไป บรรดาลูกๆ สามีหรือภริยาของเจ้ามรดก และอาจรวมถึงเครือญาติของเจ้ามรดกต่างคาดคิดว่าจะให้ผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดกกันดี  แต่ควรที่จะประชุมทายาทโดยธรรมกันก่อน
 ว่าจะให้ใครเป็นผู้จัดการมรดก และคนที่มีสติหรือมีจิตฟั่นเฟือน วิกลจริต ไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้

ทั้งนี้ผู้จัดการมรดกจะทำอะไรโดยพลการไม่ได้ และจะเอาแต่ใจตนเองก็ไม่ได้ และการร้องขอต่อศาลเพื่อจะตั้งใครเป็นผู้จัดการมรดก จะไม่ต้องถูกคัดค้านจากบรรดาทายาท
อีกทั้งหน้าที่ของผู้จัดการมรดกมีหน้าที่อย่างไรบ้างตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยบัญญัติไว้มีดังนี้
1.การจัดทำบัญชีทรัพย์ ตาม มาตรา 1714
2.การจัดการงานศพของเจ้ามรดก ตาม มาตรา 1649
3.การสืบหาตัวผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก ตาม มาตรา 1725
4.การเรียกเก็บหนี้สินของกองมรดก ตาม มาตรา 1736 วรรคท้าย
5.การส่งเงินและทรัพย์สินเข้ากองมรดก ตาม มาตรา 1720
6.การแถลงความเป็นไปในการจัดการมรดกแก่ทายาท ตาม มาตรา 1720 + 809 + 1732
7.ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ทายาทสั่งหรือศาลสั่ง ตาม มาตรา 1730 + 1597
8.การแจ้งหนี้สินระหว่างผู้จัดการมรดกกับกองมรดก ตาม มาตรา 1730 + 1596
9.ทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการมรดก ตาม มาตรา 1732

                ดังนั้นการรู้กฎหมายหรือศึกษากฎหมายจะทำให้เราไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ อีกทั้งสามารถจัดการทรัพย์สินต่างๆ ของเจ้ามรดกได้
โดย..
 http://www.oknation.net/blog/markandtony/2010/09/24/entry-2

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

สิทธิที่ถูกละเมิด…เสียงเล็กๆ ที่ถูกลืม

เด็กที่ถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเกิดจากการกระทำของพ่อแม่หรือผู้ปกครองเป็นสิ่งที่พบเห็นประจำตามหน้าหนังสือพิมพ์แทบจะทุกวัน...แล้วคุณเคยที่จะย้อนกลับไปมองไหมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการละเมิดสิทธิของเด็กหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เององค์การสหประชาติจึงได้บัญญัติหลักอนุปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิเด็กและเยาวชนขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกต้องปฏิบัติร่วมกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
เด็กและเยาวชนไทยตกเป็นเหยื่อการกระทำของผู้ใหญ่แทบทุกประเภท ทั้งทางด้าน เพศ เทคโนโลยี หรือของมอมเมาที่มาในรูปแบบโฆษณาแฝงต่างๆ จึงกลายเป็นปัญหาต่อเนื่องที่ทำให้เด็กหันมาทำร้ายกันเอง ในขณะที่มาตราการควบคุมปัญหาที่ต้นเหตุนั้น หน่วยงานเกี่ยวข้องกลับมีน้อยมาก หรือไม่มีเลย เพราะถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ เลยไม่มีใครคำนึงถึง จึงได้เกิดปัญหามากมายเช่นทุกวันนี้ !!!
“เพราะเด็กอายุประมาณ 12-13 ปี ถือเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะการพัฒนาสมองส่วนหน้าซึ่งทำหน้าที่คิดวางแผน ใช้เหตุผล ใคร่ครวญไตร่ตรองยับยั้งตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กจึงต้องมีความคิดเป็นของตนเอง ต้องตัดสิน วินิจฉัยปัญห า โดยมีผู้ใหญ่คอยเสนอแนะให้ความเห็นหรือให้ข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ประกอบการวินิจฉัยของเด็กด้วยเหตุและผล” ต่อไปอนาคตของชาติจะเป็นอย่างไร คำตอบนั้นย่อมอยู่ที่ความรับผิดชอบของสังคมและคนรอบข้าง แน่นอนว่าการป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ดีกว่าการปล่อยให้เกิดปัญหาแล้วจึงแก้ไข แต่หากรัฐบาลมีนโยบายที่จะเอาจริงเอาจังออกมาใช้ รวมทั้ง องค์กรต่างๆ ต้องออกมาช่วยรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา การมีมาตรการเฝ้าระวังที่เข้มแข็งน่าจะช่วยป้องกันปัญหาในระยะยาวได้อย่างแน่นอน ที่มา http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/12324

การละเมิดสิทธิเด็กและการคุ้มครองของรัฐ1

http://www.youtube.com/watch?v=BtmAEHeGaHA

ศัทพ์กฎหมายน่ารู้

A legal binding = ข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย Unilateral contract = สัญญาฝ่ายเดียว Bilateral/Mutual/Reciprocal contract = สัญญาต่างตอบแทน Multilateral = สัญญาที่มีคู่สัญญาหลายฝ่าย Non-reciprocal contract = สัญญาที่ไม่ต่างตอบแทน Void(able) contract = สัญญาที่เป็นโมฆียะ Offeree = ผู้ทำคำสนอง An offer and an acceptance are met consensually = ให้ความยินยอม A minor (infant) person = ผู้เยาว์ Empowered = มีสิทธิ Make an avoidance = ขอกลับ Ratification = การให้สัตยาบัน Inoperable from its inception = ไม่มีผลย้อนหลังโดยใช้หลักลาภมิควรได้ Major/sui juris personperson = ผู้บรรลุนิติภาวะ Principal = ตัวการ Undue enrichment = ตามหลักลาภมิควรได้ Upon the request of the interested person = ตามคำเรียกร้องของบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย Ascendant = บุพการี Public prosecutor = พนักงานอัยการ Is called = ตกเป็น…. Custody = อยู่ในความดูแล Contrary = ขัดต่อกฎหมาย Embezzlement = การยักยอกทรัพย์ Civilly as libel/written defamation = ความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการเขียน Infringement of copyright/patent/trademark = การละเมิดลิขสิทธิ์ Call for damages/ indemnity = เรียกร้องสินไหมทดแทน Usurious = การห้ามเรียกร้องดอกเบี้ยเกินอัตรา Stipulate = กำหนด บัญญัติ ระบุเอาไว้ Earnest = มัดจำ Default = ผิดสัญญา Initiate/commence/establish = มีผลบังคับ Death penalty = โทษประหารชีวิต Obligation = หนี้ Loan for consumption = ยืมใช้สิ้นเปลือง Loan for use = ยืมใช้คงรูป Same kind/fungible thing = ใช้แทนกันได้ Remuneration = บำเหน็จ/สินจ้าง Gratuitous/naked deposit = สัญญาฝากทรัพย์แบบไม่มีบำเหน็จ Delict/tortious actions = ละเมิด Several liability = รับผิดร่วมกัน Personally liable = รับผิดส่วนตัว Engages = ว่าจ้าง attorney-in-fact/proxy = ตัวแทน Implied authority = ปริยาย Power of attorney = หนังสือมอบอำนาจ Disclosed principal = ตัวการเปิดเผยชื่อ Undisclosed principal = ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ Apparent/ostensible agent = ตัวแทนเชิด Estopped for liability = ถูกปิดปากในกฎหมายให้รับผิด Bona fide buyer = บุคคลที่ 3 ที่ทำการโดยสุจริต ที่มา http://inter.thepbodint.ac.th/topmenu.php?c=listknowledge&q_id=201

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

ศาสตร์แห่งการศึกษาวิชากฎหมาย






กฎหมายแพ่ง คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล เช่น เรื่องสภาพบุคคล ทรัพย์ หนี้ นิติกรรม ครอบครัว และมรดก เป็นต้น การกระทำผิดทางแพ่ง ถือว่าเป็นการละเมิดต่อบุคคลที่เสียหายโดยเฉพาะไม่ทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนอย่างการกระทำผิดอาญา             
กฎหมายพาณิชย์  คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล อันเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเศรษฐกิจและการค้า โดยวางระเบียบเกี่ยวพันทางการค้าหรือธุรกิจระหว่างบุคคล เช่น การตั้งหุ้นส่วนบริษัท การประกอบการรับขน และเรื่องเกี่ยวกับตั๋วเงิน (เช่น เช็ค) กฎหมายว่าด้วยการซื้อขาย การเช่าทรัพย์ การจำนอง การจำนำ เป็นต้น            
ในปัจจุบันกฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์ของประเทศไทย ได้บัญญัติรวมเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน เรียกชื่อว่า "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" แบ่งออกเป็น 6 บรรพ คือ บรรพ 1 ว่าด้วยหลักทั่วไป บรรพ 2 ว่าด้วยหนี้ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัวและบรรพ 6 ว่าด้วยมรดก            
เหตุที่ประเทศไทยมีการจัดทำประมวลกฎหมายโดยการนำเอากฎหมายแพ่งมารวมกับกฎหมายพาณิชย์เป็นฉบับเดียวคล้ายกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยไม่ได้แยกเป็นประมวลกฎหมายแพ่งเล่มหนึ่งและประมวลกฎหมายพาณิชย์อีกเล่มหนึ่งดังเช่นประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เพราะการค้าพาณิชย์ในขณะที่ร่างกฎหมายยังไม่เจริญก้าวหน้า อีกทั้ง หลักทั่วไปบางอย่างในกฎหมายแพ่งก็สามารถนำไปใช้กับกฎหมายพาณิชย์ได้ ความจำเป็นที่จะต้องแยกกฎหมายพาณิชย์ออกจากกฎหมายแพ่งโดยจัด

อ่านเรื่องเพิ่มเติมได้ที่ http://insurance1free.blogspot.com/

แหล่งที่มา
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=140cf98beef5688d