วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

ความหมายกฎหมายแรงงาน


 "กฎหมายแรงงาน"  หมายถึง  ข้อบังคับที่รัฐได้กำหนดขึ้น เพื่อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง  เกี่ยวกับการจ้างและการทำงาน เกี่ยวกับองค์กรฝ่ายของนายจ้าง และองค์กรของฝ่ายลูกจ้าง เกี่ยวกับการเจรจาต่อรองเกี่ยวกับสภาพของการจ้างงาน  การระงับข้อพิพาทปัญหาแรงงาน  การนัดหยุดงาน ปิดงาน งดจ้าง  ตลอดจนการกำหนดความคุ้มครองในเรื่องของความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง  การจัดหางาน  การสงเคราะห์อาชีพ การส่งเสริมการทำงาน เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความสามารถในการทำงานให้มีมากยิ่งขึ้น
   ในเรื่องของแรงงาน เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าขาดซึ่งแรงงานแล้ว สังคมหรือประเทศก็คงไม่สามารถที่จะพัฒนาไปได้ แต่ว่า ถึงแม้แรงงานจะเป็นสิ่งที่สำคัญเพียงใด ในฐานะของผู้ใช้แรงงานก็มักจะตกเป็นเบี้ยล่าง ถูกกดขี่และถูกเอาเปรียบอยู่เสมอๆ  ทั้งนี้ก็อาจจะเป็นเพราะผู้ใช้แรงงานโดยส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด มีฐานะที่ค่อนข้างยากจนและยังขาดการศึกษาที่ดี  เป็นเหตุให้ผู้ใช้แรงงานไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องของการเจรจาต่อรองกับผู้เป็นนายจ้างมากนัก  ดังนั้นแม้ว่าผู้ใช้แรงงานจะถูกเอาเปรียบมากขนาดไหน ก็ยังต้องก้มหน้ายอมปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้างนั้น
เพราะหากขืนโต้แย้งขัดค้านขึ้นมาแล้ว ก็คงถูกหมายหัวเอาไว้ว่า ดื้อหัวแข็ง  สุดท้ายแล้วลูกจ้างคนนั้นอาจต้องตกงานเตะฝุ่นเอาง่ายๆ ได้เช่นกัน

   ด้วยเหตุนี้ รัฐจึงจำเป็นต้องเข้ามาควบคุมบริการจัดการในเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นทั้งสองฝ่าย โดยได้เข้ามาควบคุมจัดการในเรื่องที่สำคัญต่างๆ  เช่น  อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ผู้ใช้แรงงานควรได้  ตามสภาพของเศรษฐกิจและค่าครองชีพในขณะนั้นๆ  เกี่ยวกับระยะเวลาในการทำงาน  เกี่ยวกับข้อตกลงต่างเกี่ยวกับการจ้างงาน เป็นต้น โดยการจัดการในเรื่องดังกล่าว  รัฐได้เข้ามาจัดการในรูปของกฎหมาย เพื่อให้มีผลบังคับได้โดยทั่วไป

ที่มา http://www.chawbanlaw.com

กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา

ความรู้เบื้องต้นกับกฏหมายทรัพย์สินทางปัญญา
“ทรัพย์สินทางปัญญา” ในความรู้สึกของผม มันคือเสรีภาพ คือความเท่าเทียมกันของมนุษย์ในการที่จะเลือกเดินตามฝัน เลือกที่จะใช้ชีวิตเลยทีเดียว ทรัพย์สินทางปัญญา ไม่ต้องมี ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือปริญญาจากมหาลัยดีๆ เพียงแค่มี ความคิด จินตนาการ มีการทุ่มเท รู้จักวิธีค้นคว้าหาความรู้ด้วยตัวเองและรับผิดชอบ ก็สามารถทำให้ ผู้นั้นประสบความสำเร็จในชีวิตได้และที่สำคัญเกิดประโยชน์ต่อมนุษย์และสังคมโลกด้วยเช่นกัน ด้วยความคิดและการทุ่มเทจากทรัพย์สินทางปัญญาของมนุษย์สามารถ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่เดือดร้อนได้มากมายจากปัญญาของตนเป็นเรื่องที่พิเศษมากอย่างหนึ่งของโลกนี้ มันเป็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์เมื่อเราสามารถสร้างสรรค์อะไรได้ หรือแม้แต่วิศวกรเอง สังคมเราเชื่อว่าระบบการศึกษาน่าจะช่วยให้เราเชื่อมั่นได้ว่าเค้าจะสามารถสร้างสรรค์ได้จริง แต่หากแม้เป็นวิศวกรแต่เพียงปริญญา ไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานใดให้กับสังคมเป็นรูปธรรมขึ้นมาสักชิ้น ผมยังคิดว่าเทียบไม่ได้เลยกับนักประดิษฐ์ที่ได้รับสิทธิบัตรจากการประดิษฐ์ผลงานเป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยที่เขาไม่ได้เรียนหนังสือด้วยซ้ำ ทรัพย์สินทางปัญญาคือเวทีของผู้สร้างสรรค์ตัวจริง คำว่า “ผู้สร้างสรรค์” เป็นคำที่สวยงามจริงและเป็นภาษากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญา “Intellectual Property” หลายๆ ฝ่ายได้มีการนิยามแตกต่างกันไปอย่างกว้างขวาง ผมสรุปการจับใจความได้ว่ า ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง สิ่งที่เป็นรูปร่าง (รูปธรรม) หรือความคิด (นามธรรม) ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์ เช่น การออกแบบอุปกรณ์ไฟฟ้า การออกแบบวงจร สิ่งประดิษฐ์ บทกวี วรรณกรรม ภาพวาด แนวความคิด เป็นต้น แต่ในแง่ของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว ผมเข้าใจเอาเองว่า ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง ทรัพย์สินอันเกิดจากผลิตผลทางความคิดของผู้สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นสมบัติอันล้ำค่าของทุกคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ วิธีดั้งเดิมของคนโบราณ ในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของตน คือการเก็บสิ่งที่ตนคิดค้นสร้างสรรค์ขึ้นมาไว้ในสมองของผู้คิดค้น เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อผู้อื่นมาพบสิ่งที่ตนคิดค้นสร้างสรรค์ขึ้นมา แล้วนำไปหาประโยชน์ โดยที่ตนไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนใดๆ ดังนั้นทรัพย์สินทางปัญญานั้นๆ จะยังคงถูกเก็บรักษ าไว้ตราบจนผู้คิดค้นสร้างสรรค์ตัดสินใจเปิดเผย หรือไม่ก็ตายตามผู้คิดค้นดับไปปัจจุบันองค์ความรู้ในเรื่องใดๆ นับว่ามีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะงานวิศวกรรมโทรคมนาคมในปัจจุบันที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและมีวงจรชีวิตสั้นลง(Shortly Technology Life Cycle) ในหนึ่งชั่วชีวิตคน หากค้นคว้าเอง คิดเอง ปฏิบัติเอง เพียงลำพัง เทคโนโลยีคงไม่สามารถก้าวไกลไปได้รวดเร็วสักเท่าไร ดังนั้นการต่อยอดทางความคิดและการจัดการแบ่งกันคิด แบ่งกันสร้างสรรค์ในมุมมองเชิงมิติสัมพันธ์เพื่อสร้างงานใหญ่ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสังคมมนุษย์ กฏหมายทรัพย์สินทางปัญญาจึงเกิดขึ้นเพื่อคุ้มครองผู้ที่คิดค้นงานสร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นคนแรก ให้สามารถหาประโยชน์จากความคิดสร้างสรรค์ของตนได้อย่างเต็มที่และชอบธรรม อีกทั้งยังให้ความคิดสร้างสรรค์นั้นถูกนำมาเปิดเผยเพื่อทำให้เกิดประโยชน์ต่อโลกและสังคมมนุษย์ต่อไปและยังเป็นการลดขั้นตอนการคิดเพื่อนำความรู้เดิมมาต่อยอดความรู้ใหม่ ทำให้นักคิดและผู้สร้างสรรค์สามารถลดเวลาในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อประโยชนต่อสังคมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
พัฒนาการของการร่วมมือทางทรัพย์สินทางปัญญาของโลก ประเทศต่างๆ ที่เห็นความสำคัญของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา จึงได้มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา มาบังคับใช้ในประเทศของตน แต่เมื่อมีการเชื่อมต่อระหว่างประเทศและมีการทำธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business) โดยเฉพาะเครือข่ายต่างๆ เพื่อการติดต่อกันระหว่างประเทศ อันเนื่องมาจากระบบโทรคมนาคมที่มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกว่ายุค โลกาภิวัฒน์ (Globalization) เป็นผลให้การแพร่กระจายความรู้ที่เกี่ยวกับการคิดค้นความคิดสร้างสรรค์ใดๆ นั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว (Technology Diffusion) โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี แน่นอนว่าสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของผู้คิดค้นย่อมกระทบกระเทือนด้วยเช่นกัน ประเทศต่างๆ ควรให้เกียรติซึ่งกันและกันในการให้ความเคารพ ความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดจากทรัพย์สินทางปัญญา โดยการออกระเบียบและกฎหมาย ให้กระทบกระเทือนผลประโยชน์ ที่ผู้สร้างสรรค์จะได้รับให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะในการค้นคว้าและแลกเปลี่ยนวิทยาการซึ่งกันและกันโดยไม่กระทบต่อประโยชน์ผู้สร้างสรรค์ที่ควรได้รับ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศจึงมีความสำคัญอย่างมากๆ ในระดับสากล หลายๆ ประเทศล้วนได้ให้ความสำคัญในการทำข้อตกลงเพื่อคุ้มครองประโยชน์ ของผู้สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา จนเกิดเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศมานับร้อยปีแล้ว และสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน ดังที่เราทราบกัน เช่น อนุสัญญา ปารีสว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม ค.ศ. 1883 (Paris Convention, of March 20” 1883” for The Protection of Industrial Property) โดยอนุสัญญาฉบับนี้เน้นเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม เช่น สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการป้องกันการกระทำอันไม่เป็นธรรม
ปัจจุบันประเทศมหาอำนาจทั้งหลายได้เล็งเห็นการรักษาประโยชน์ของทรัพย์สินทางปัญญา ยกเว้นประเทศด้อยพัฒนา ซึ่งตัวแทนในการเจรจาการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศจะเสียเปรียบเสมอ ดังเราจะเห็นได้จาก สหรัฐอเมริกาได้ยกเอาปัญหาเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศเป็นหัวข้อสำคัญในการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงทั่วไปทางภาษี ศุลกากรและการค้า (The General Agreement on Tariffs and Trade) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าการเจรจา แกตต์ รอบ อุรุกกวัย (the Uruguay Round Negotiations) และสิ้นสุดเมื่อ เมษายน 2537 โดยมุ่งเน้นเรื่องปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามยังมีอนุสัญญาอีกฉบับหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวกับกฏหมายการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาโดยตรง แต่เป็นอนุสัญญาสนับสนุนการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญากับประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยผ่านองค์กรกลางที่ทำหน้าที่ให้ความร่วมมือระหว่างรัฐ และองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อความร่วมมือทางทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งประเทศไทยก็ได้ร่วมเป็นภาคีสมาชิกอยู่ ซึ่งอนุสัญญานี้เรียกว่า “อนุสัญญาว่าด้วยการก่อตั้งองค์กรทรัพย์สินทางปัญญาโลก” (Convention Establishing the World Intellectual Property Organization) หรือมีชื่อเรียกย่อว่า WIPO มีฐานะเป็นหน่วยงานพิเศษของ องค์การสหประชาชาติ และในปัจจุบันได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างประเทศด้านทรัพย์สินทางปัญญา
อย่างไรก็ตามเมื่อโลกได้เปลี่ยนไปเข้าสู่ระบบการค้าเสรี การทำการค้าระหว่างประเทศได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสังคมโลก นานาประเทศล้วนหาแนวทางร่วมกันในการกำตัดการกีดกันทางการค้าให้หมดสิ้นไป จึงได้มีการเจรจาตกลงเพื่อกำหนดกฏเกฑ์เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศขึ้น โดยเริ่มจากประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการตกลงทางด้านภาษีศุลกากรและการค้า General Agreement on Tariffs and Trade หรือที่เยกกันทั่วไปว่า GATT แต่แล้วในปี พ.ศ. 2537 ได้มีการเจรจา GATT ในรอบอุรุกวัย ได้มีข้อตกลงการจัดตั้งองค์การการค้าโลกหรือ World Trade Organization หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า WTO และเหล่าประเทศอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีชั้นสูง ได้เสนอประเด็นใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการค้านั่นคือ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา จนในที่สุดได้มีข้อตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการค้า (Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights, Including Trade in Counterfeit Goods) หรือที่เคยได้กันยินบ่อยๆ ว่า TRIPs และประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีในความตกลงดังกล่าวนี้เมื่อ 28 ธันวาคม 2537 ซึ่งบทบัญญัติของกฏหมายประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาต้องสอดคล้องกับคำแนะนำและหลักเกณฑ์ของ TRIPs ด้วย การเข้าร่วมกับประชาคมโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย เมื่อเจ็ดสิบกว่าปีก่อน ประเทศไทยได้เข้าร่วมกับประชาคมโลกทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2474 (ค.ศ.1931) โดยประเทศไทยเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาเบิร์นเพื่อคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรร ม ซึ่งแก้ไขและปรับปรุงที่กรุงเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1908 และเพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีดังกล่าวจึงได้มีการตราพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ 2474 ขึ้นในปีเดียวกันพันธกรณีของประเทศไทยที่มีอยู่ตามอนุสัญญาเบิร์นได้เปลี่ยนแปลงครั้งแรกใน พ.ศ. 2523 (ค.ศ 1980) เมื่อประเทศไทยได้เข้าผูกพันตามพิธีสารกรุงปารีส ค.ศ. 1971 ในบทบัญญัติด้านการบริหารเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2523 และพันธกรณีของประเทศไทยตามอนุสัญญาเบิร์นได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) เมื่อประเทศไทยได้ทำคำประกาศต่อองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกว่าจะขยายผลของความผูกพันไปยังบทบัญญัติด้านสารบัญญัติ (มาตรา 1 ถึง 21) ของพิธีสาร กรุงปารีส ค.ศ. 1971 การเข้าผูกพันมีผลสมบูรณ์เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ทำให้ประเทศไทยต้องผูกพันเต็มที่ตามพิธีสารกรุงปารีส ค.ศ. 1971 ทั้งบทบัญญัติด้านสารบัญญัติ (มาตรา 1 ถึง 21 ) และบทบัญญัติด้านการบริหาร (มาตรการ 22 ถึง 38)เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศไทยไม่เคยเข้าเป็นภาคีในความตกลงกับประเทศใด แม้ว่าประเทศไทยจะได้มีการตรากฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาหลายฉบับแล้วก็ตาม ซึ่งนอกเหนือจากอนุสัญญาเบิร์น ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศแล้ว แม้ว่าประเทศไทย จะไม่ต้องผูกพันตามความตกลงระหว่างประเทศใด ๆ ที่เกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองแก่สิ่งที่ได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาก็ตาม นอกจากความผูกพันตามอนุสัญญาเบิร์น อนุสัญญาปารีสเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมมีอิทธิพลอย่างมากในการร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของไทย กฎหมายเครื่องหมายการค้าปัจจุบัน ยอมรับการจำแนกสินค้าและบริการตามบทบัญญัติของความตกลงนีซเรื่องการจำแนกระหว่างประเทศซึ่งสินค้าและบริการระหว่างประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ในการจดทะเบียนเครื่องหมาย นอกจากอนุสัญญาเบิร์นแล้วยังมีความตกลง TRIPs ซึ่งประเทศไทยและประเทศส่วนใหญ่ในประชาคมโลกยอมรับและต้องบังคับตามพันธกรณี โดยการปรับปรุงและตรากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของตน เนื่องจากการอนุวัตรการความตกลง TRIPs มีผลให้ต้องยอมรับความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาบางฉบับ ซึ่งอ้างถึงในความตกลง TRIPs ประเทศไทยเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าเป็นภาคีในความตกลงระหว่างประเทศเฉพาะเรื่องเหล่านั้น แต่ประเทศไทยก็ยังสนใจในการเข้าร่วมสนธิสัญญาความร่วมมือทางด้านสิทธิบัตร (PCT) คณะกรรมมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อทบทวนพระราชบัญญัติสิทธิบัตรมีความเห็นว่าการเข้าเป็นภาคีจะเป็นประโยชน์กับผู้ประดิษฐ์ไทยในเรื่องของการจดทะเบียนระหว่างประเทศ เนื่องจากการยื่นคำขอสามารถทำได้ในประเทศไทย และผู้ยื่นคำขอสามารถระบุประเทศซึ่งตนประสงค์จะได้รับความคุ้มครองได้หลายประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น การสืบค้นระหว่างประเทศจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และผู้ยื่นคำขอสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการแยกยื่นคำขอกับสำนักงานสิทธิบัตรหลายๆ แห่ง ดังนั้น คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรจึงสรุปว่ารัฐบาลไทยควรดำเนินการเพื่อเข้าร่วมในสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตรโดยเร็ว ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาก่อตั้งองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989)
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมายไทย ผมได้ค้นคว้าพบว่ามีหนังสือหลายเล่มที่กล่าวว่า ได้มีการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาโดยบัญญัติเป็นกฏหมายชัดแจ้ง โดยเริ่มจากการคุ้มครองงานวรรณกรรมโดยประกาศหอสมุดวชิรญาณ ร.ศ.111 หรือ พ.ศ. 2435 หรือกล่าวได้ว่าเป็นกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาฉบับแรกของไทย ปัจุบันกฏหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ประกาศใช้ในประเทศไทย ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศสมาชิกของ WTO และเป็นประเทศกำลังพัฒนา การตรากฎหมาย ใหม่ตลอดจนการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สอดคล้องเป็นไปตามความตกลง TRIPs จะต้องทำให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ขณะที่เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งแก้ไขปรับปรุงและตราขึ้นเพื่อเป็นไปตามความตกลง TRIPs มีดังนี้ - พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พรบ.สิทธิบัตร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2534 อันให้ความคุ้มครองงานประดิษฐ์และการออกแบบผลิตภัณฑ์และแก้ไขเพิ่มเติม และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 -พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งให้ความคุ้มครองงานสร้างสรรค์ประเภทต่างๆ ที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้มีลิขสิทธิ์ ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง -พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ซึ่งให้ความคุ้มครองงานในสิทธิเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการและแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) นอกจากกฎหมายดังกล่าวแล้ว ยังมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำความผิด ในส่วนของประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่งฯ ในการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไว้อีกเช่นกัน เทคโนโลยีโทรคมนาคมที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากทรัพย์สินทางปัญญาหรือวิวัฒนาการของงานวิศวกรรมก็ตามที สำหรับในประเทศไทยแล้วนอกจากกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับโทรคมนาคม และการสื่อสารที่เราทราบกันดีอยู่ ยังมีกฏหมายที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาที่จะมีบทบาทตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดเสรีโทรคมนาคมอย่างเต็มที่ ซึ่งกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญานอกจาก พรบ. ทั้งสามที่กล่าวมาแล้วยังมีอีกหลาย พรบ. อาทิเช่น -พรบ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ พ.ศ. 2539 -พรบ. คุ้มครองแบบผังวงจรรวม พ.ศ. 2543 -พรบ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 -พรบ. ความลับทางการค้า พ.ศ. 2545 -พรบ. คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 ประเภททรัพย์สินทางปัญญา 1. สิทธิบัตร 2. ลิขสิทธิ์และสิทธิเกี่ยวเนื่อง 3. เครื่องหมายการค้า 4. สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ 5. การออกแบบอุตสาหกรรม 6. การออกแบบผังภูมิ (ภูมิสภาพ) ของวงจรรวม 7. การคุ้มครองข้อสนเทศที่ไม่เปิดเผย
ที่มา http://www.torakom.com/article_index.php?sub=article_show&art=123

ที่มากฏหมายตราสามดวง

ที่มาของกฎหมายตราสามดวง

 การทำความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาของกฎหมายตราสามดวงนั้น ควรเข้าใจความหมายของคำว่า “กฎหมาย” ก่อน ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของกฎหมายว่า“กฎที่สถาบันหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐตราขึ้น หรือที่เกิดขึ้นจากจารีตประเพณีอันเป็นที่ยอมรับนับถือ เพื่อใช้ในการบริหารประเทศ เพื่อใช้บังคับบุคคลให้ปฏิบัติตา ม หรือเพื่อกำหนดระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างบุคคลกับรัฐ” ดังนั้นที่มาของตัวบทกฎหมายต่างๆ ที่ใช้กันมานานกว่า ๔๐๐ ปีในสังคมไทย และได้นำมาประมวลไว้ในกฎหมายตราสามดวง จึงสะท้อนความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของไทย ในสมัยอยุธยากฎหมายไทยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย โดยผ่านมาทางมอญ คือ “คัมภีร์พระธรรมศาสตร์” ซึ่งมอญเรียกว่า “คัมภีร์ธัมมสัตถัม” คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อว่ามิได้เกิดขึ้นจากสติปัญญาของ มนุษย์ แต่เป็นผลงาน ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้เป็นหลักในการอำนวยความยุติธรรมของพระมหากษัตริย์ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้เผยแพร่ไปในดินแดนต่างๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งกฎหมายของอยุธยาที่ได้มีการประกาศใช้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๑๙๑๒) ก็ได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เช่นกัน และได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายลักษณะต่างๆ หลายครั้งในรัชกาลต่อๆ มา รวมทั้งมีการตรากฎหมายใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย กฎหมายต่างๆ ที่เป็นการสืบสาขาคดี โดยยึดมูลคดีตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นหลักนั้น เรียกว่า “พระราชศาสตร์” ขณะเดียวกันพระมหากษัตริย์ไทยแต่ละพระองค์ก็ได้ทรงออกกฎเกณฑ์ต่างๆ ในการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินตามความจำเป็นและเหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องนอกเหนือไปจากที่มีกำหนดไว้ ในมูลคดีตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ รวมถึงการวินิจฉัยคดีความต่างๆ รวบรวมเป็นกฎหมายของแผ่นดินอีกส่วนหนึ่ง เรียกว่า “พระราชนิติศาสตร์ หรือพระราชนิติคดี” ดังนั้นตัวบท กฎหมายต่างๆ ในกฎหมายตราสามดวงจึงเป็นทั้ง “พระธรรมศาสตร์” และ “พระราชศาสตร์” และ “พระราชนิติศาสตร์ หรือ พระราชนิติคดี” ผสมผสานกันโดยมีคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์เป็นแกนหลักที่สำคัญ เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสื่อมอำนาจและสิ้นสุดลงใน พ.ศ. ๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชได้ทรงกอบกู้ชาติจนได้รับอิสรภาพกลับคืนมา และทรงเร่งบูรณะฟื้นฟูบ้านเมืองตลอดระยะเวลา ๑๕ ปี จนกระทั่งถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งเป็นการเริ่มต้นสมัยรัตนโกสินทร์ พระองค์ก็ได้ทรงทำนุบำรุงประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะสรรพวิชาการความรู้ต่างๆ ที่ขาดตอนไป เนื่องจากการเสียกรุงศรีอยุธยาดังกล่าวมาแล้ว

ที่มา http://guru.sanook.com/encyclopedia

กฎหมายครอบครัว

กฎหมายครอบครัว(มรดก)
                ถ้าพูดถึงเรื่องกฎหมายครอบครัวมีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน เพราะคนเราเกิดมาก็ต้องมีครอบครัวหรือมีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวกันหมดทุกคน
 เช่น คนเราเกิดมาก็ต้องมีพ่อแม่ , มีการสมรส , มีการหมั้น , มีการรับรองบุตร , มีการทำพินัยกรรม ,มีการจัดการมรดก , การปกครองบุตร , ทรัพย์สินระหว่างสามีและภรรยา ฯลฯ

                ดังนั้นเราจึงควรศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวไว้บ้าง ถ้าเกิดมีปัญหาจะได้แก้ไขได้ถูก ยกตัวอย่างเรื่องของ มรดก
 มรดก หมายถึง ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่างๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้
 (มาตรา 1599* เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท
 ทายาทอาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้แต่โดยบทบัญญัติแห่งประมวล กฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  และมาตรา 1600* ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
 กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิ
 หน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ )

มีคนถามว่า มรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อใด     มรดกจะตกถึงทายาท เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย  กองมรดกของเจ้าของมรดกจะตกทอดกับทายาทโดย
 สิทธิตามกฎหมาย หรือโดยพินัยกรรม
            กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แบ่งทายาทออกเป็น 2 ประเภท กล่าวคือ ทายาทโดยธรรมซึ่งเป็นทายาทที่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย

        บุคคลที่จะเป็นทายาทซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกนั้น ถ้าเป็นทายาทโดยธรรมต้องเป็นบุคคลธรรมดา และบุคคลธรรมดาที่จะเป็นทายาทได้ต้องมีสภาพบุคคล
ซึ่งสภาพบุคคลนี้ย่อมเริ่มมีขึ้นตั้งแต่เมื่อบุคคลนั้นได้คลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารก

ทายาทโดยธรรมซึ่งมีสิทธิได้รับมรดก ได้แก่
1. ผู้สืบสันดาน คือ ลูก หลาน เหลน ลื้อ
2. บิดามารดา
3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
4. พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
5. ปู่ ย่า ตา ยาย
6. ลุง ป้า น้า อา
7. คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งการแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างทายาทโดยธรรมจะต้องมีการลำดับและชั้นต่าง ๆ 
        ส่วนประเภทที่ 2 ทายาทโดยพินัยกรรม คือ ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกเพราะพินัยกรรมกำหนดไว้ ซึ่งอาจจะเป็นทายาทโดยธรรมหรือบุคคลภายนอกก็ได้       
(ตาม มาตรา 1603 กองมรดกย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยสิทธิตาม กฎหมายหรือโดยพินัยกรรม ทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมาย เรียกว่า "ทายาทโดยธรรม" ทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม เรียกว่า "ผู้รับพินัยกรรม")
เมื่อเจ้ามรดกตายลงไป บรรดาลูกๆ สามีหรือภริยาของเจ้ามรดก และอาจรวมถึงเครือญาติของเจ้ามรดกต่างคาดคิดว่าจะให้ผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดกกันดี  แต่ควรที่จะประชุมทายาทโดยธรรมกันก่อน
 ว่าจะให้ใครเป็นผู้จัดการมรดก และคนที่มีสติหรือมีจิตฟั่นเฟือน วิกลจริต ไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้

ทั้งนี้ผู้จัดการมรดกจะทำอะไรโดยพลการไม่ได้ และจะเอาแต่ใจตนเองก็ไม่ได้ และการร้องขอต่อศาลเพื่อจะตั้งใครเป็นผู้จัดการมรดก จะไม่ต้องถูกคัดค้านจากบรรดาทายาท
อีกทั้งหน้าที่ของผู้จัดการมรดกมีหน้าที่อย่างไรบ้างตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยบัญญัติไว้มีดังนี้
1.การจัดทำบัญชีทรัพย์ ตาม มาตรา 1714
2.การจัดการงานศพของเจ้ามรดก ตาม มาตรา 1649
3.การสืบหาตัวผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก ตาม มาตรา 1725
4.การเรียกเก็บหนี้สินของกองมรดก ตาม มาตรา 1736 วรรคท้าย
5.การส่งเงินและทรัพย์สินเข้ากองมรดก ตาม มาตรา 1720
6.การแถลงความเป็นไปในการจัดการมรดกแก่ทายาท ตาม มาตรา 1720 + 809 + 1732
7.ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ทายาทสั่งหรือศาลสั่ง ตาม มาตรา 1730 + 1597
8.การแจ้งหนี้สินระหว่างผู้จัดการมรดกกับกองมรดก ตาม มาตรา 1730 + 1596
9.ทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการมรดก ตาม มาตรา 1732

                ดังนั้นการรู้กฎหมายหรือศึกษากฎหมายจะทำให้เราไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ อีกทั้งสามารถจัดการทรัพย์สินต่างๆ ของเจ้ามรดกได้
โดย..
 http://www.oknation.net/blog/markandtony/2010/09/24/entry-2

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

สิทธิที่ถูกละเมิด…เสียงเล็กๆ ที่ถูกลืม

เด็กที่ถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเกิดจากการกระทำของพ่อแม่หรือผู้ปกครองเป็นสิ่งที่พบเห็นประจำตามหน้าหนังสือพิมพ์แทบจะทุกวัน...แล้วคุณเคยที่จะย้อนกลับไปมองไหมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการละเมิดสิทธิของเด็กหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เององค์การสหประชาติจึงได้บัญญัติหลักอนุปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิเด็กและเยาวชนขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกต้องปฏิบัติร่วมกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
เด็กและเยาวชนไทยตกเป็นเหยื่อการกระทำของผู้ใหญ่แทบทุกประเภท ทั้งทางด้าน เพศ เทคโนโลยี หรือของมอมเมาที่มาในรูปแบบโฆษณาแฝงต่างๆ จึงกลายเป็นปัญหาต่อเนื่องที่ทำให้เด็กหันมาทำร้ายกันเอง ในขณะที่มาตราการควบคุมปัญหาที่ต้นเหตุนั้น หน่วยงานเกี่ยวข้องกลับมีน้อยมาก หรือไม่มีเลย เพราะถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ เลยไม่มีใครคำนึงถึง จึงได้เกิดปัญหามากมายเช่นทุกวันนี้ !!!
“เพราะเด็กอายุประมาณ 12-13 ปี ถือเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะการพัฒนาสมองส่วนหน้าซึ่งทำหน้าที่คิดวางแผน ใช้เหตุผล ใคร่ครวญไตร่ตรองยับยั้งตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กจึงต้องมีความคิดเป็นของตนเอง ต้องตัดสิน วินิจฉัยปัญห า โดยมีผู้ใหญ่คอยเสนอแนะให้ความเห็นหรือให้ข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ประกอบการวินิจฉัยของเด็กด้วยเหตุและผล” ต่อไปอนาคตของชาติจะเป็นอย่างไร คำตอบนั้นย่อมอยู่ที่ความรับผิดชอบของสังคมและคนรอบข้าง แน่นอนว่าการป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ดีกว่าการปล่อยให้เกิดปัญหาแล้วจึงแก้ไข แต่หากรัฐบาลมีนโยบายที่จะเอาจริงเอาจังออกมาใช้ รวมทั้ง องค์กรต่างๆ ต้องออกมาช่วยรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา การมีมาตรการเฝ้าระวังที่เข้มแข็งน่าจะช่วยป้องกันปัญหาในระยะยาวได้อย่างแน่นอน ที่มา http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/12324

การละเมิดสิทธิเด็กและการคุ้มครองของรัฐ1

http://www.youtube.com/watch?v=BtmAEHeGaHA

ศัทพ์กฎหมายน่ารู้

A legal binding = ข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย Unilateral contract = สัญญาฝ่ายเดียว Bilateral/Mutual/Reciprocal contract = สัญญาต่างตอบแทน Multilateral = สัญญาที่มีคู่สัญญาหลายฝ่าย Non-reciprocal contract = สัญญาที่ไม่ต่างตอบแทน Void(able) contract = สัญญาที่เป็นโมฆียะ Offeree = ผู้ทำคำสนอง An offer and an acceptance are met consensually = ให้ความยินยอม A minor (infant) person = ผู้เยาว์ Empowered = มีสิทธิ Make an avoidance = ขอกลับ Ratification = การให้สัตยาบัน Inoperable from its inception = ไม่มีผลย้อนหลังโดยใช้หลักลาภมิควรได้ Major/sui juris personperson = ผู้บรรลุนิติภาวะ Principal = ตัวการ Undue enrichment = ตามหลักลาภมิควรได้ Upon the request of the interested person = ตามคำเรียกร้องของบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย Ascendant = บุพการี Public prosecutor = พนักงานอัยการ Is called = ตกเป็น…. Custody = อยู่ในความดูแล Contrary = ขัดต่อกฎหมาย Embezzlement = การยักยอกทรัพย์ Civilly as libel/written defamation = ความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการเขียน Infringement of copyright/patent/trademark = การละเมิดลิขสิทธิ์ Call for damages/ indemnity = เรียกร้องสินไหมทดแทน Usurious = การห้ามเรียกร้องดอกเบี้ยเกินอัตรา Stipulate = กำหนด บัญญัติ ระบุเอาไว้ Earnest = มัดจำ Default = ผิดสัญญา Initiate/commence/establish = มีผลบังคับ Death penalty = โทษประหารชีวิต Obligation = หนี้ Loan for consumption = ยืมใช้สิ้นเปลือง Loan for use = ยืมใช้คงรูป Same kind/fungible thing = ใช้แทนกันได้ Remuneration = บำเหน็จ/สินจ้าง Gratuitous/naked deposit = สัญญาฝากทรัพย์แบบไม่มีบำเหน็จ Delict/tortious actions = ละเมิด Several liability = รับผิดร่วมกัน Personally liable = รับผิดส่วนตัว Engages = ว่าจ้าง attorney-in-fact/proxy = ตัวแทน Implied authority = ปริยาย Power of attorney = หนังสือมอบอำนาจ Disclosed principal = ตัวการเปิดเผยชื่อ Undisclosed principal = ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ Apparent/ostensible agent = ตัวแทนเชิด Estopped for liability = ถูกปิดปากในกฎหมายให้รับผิด Bona fide buyer = บุคคลที่ 3 ที่ทำการโดยสุจริต ที่มา http://inter.thepbodint.ac.th/topmenu.php?c=listknowledge&q_id=201