วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555
กฎหมายแพ่ง คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล เช่น เรื่องสภาพบุคคล ทรัพย์ หนี้ นิติกรรม ครอบครัว และมรดก เป็นต้น การกระทำผิดทางแพ่ง ถือว่าเป็นการละเมิดต่อบุคคลที่เสียหายโดยเฉพาะไม่ทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนอย่างการกระทำผิดอาญา
กฎหมายพาณิชย์ คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล อันเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเศรษฐกิจและการค้า โดยวางระเบียบเกี่ยวพันทางการค้าหรือธุรกิจระหว่างบุคคล เช่น การตั้งหุ้นส่วนบริษัท การประกอบการรับขน และเรื่องเกี่ยวกับตั๋วเงิน (เช่น เช็ค) กฎหมายว่าด้วยการซื้อขาย การเช่าทรัพย์ การจำนอง การจำนำ เป็นต้น
ในปัจจุบันกฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์ของประเทศไทย ได้บัญญัติรวมเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน เรียกชื่อว่า "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" แบ่งออกเป็น 6 บรรพ คือ บรรพ 1 ว่าด้วยหลักทั่วไป บรรพ 2 ว่าด้วยหนี้ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัวและบรรพ 6 ว่าด้วยมรดก
เหตุที่ประเทศไทยมีการจัดทำประมวลกฎหมายโดยการนำเอากฎหมายแพ่งมารวมกับกฎหมายพาณิชย์เป็นฉบับเดียวคล้ายกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยไม่ได้แยกเป็นประมวลกฎหมายแพ่งเล่มหนึ่งและประมวลกฎหมายพาณิชย์อีกเล่มหนึ่งดังเช่นประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เพราะการค้าพาณิชย์ในขณะที่ร่างกฎหมายยังไม่เจริญก้าวหน้า อีกทั้ง หลักทั่วไปบางอย่างในกฎหมายแพ่งก็สามารถนำไปใช้กับกฎหมายพาณิชย์ได้ ความจำเป็นที่จะต้องแยกกฎหมายพาณิชย์ออกจากกฎหมายแพ่งโดยจัด
อ่านเรื่องเพิ่มเติมได้ที่ http://insurance1free.blogspot.com/
แหล่งที่มา
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=140cf98beef5688d
กฎหมายล้มละลาย
ลักษณะของกฎหมายล้มละลาย
มีนักกฎหมายบางท่านกล่าวว่า กฎหมายล้มละลาย เป็นกฎหมาย วิธีสบัญญัติ ( เป็นกฎหมายที่กล่าวถึงวิธีดำเนินคดี หรือ ขั้นตอน วิธีการต่างๆ ในการดำเนินคดี ) บางท่าน กล่าวว่า เป็นกฎหมายสารบัญญัติ ( กฎหมายที่กล่าวถึง สิทธิ และหน้าที่ รวมตลอดถึงความรับผิดชอบ ของบุคคล ) และก็มีหลายท่านเห็นว่าเป็น กฎหมายสารบัญญัติ และ กฎหมายวิธีสบัญญัติ อยู่ในฉบับเดียวกัน แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่า กฎหมายล้มละลาย จะมีลักษณะอย่างไร มันก็ยัง เป็นกฎหมายล้มละลาย ที่ทั้งยุ่ง และ ทั้งยาก ดังนั้น จึงไม่ค่อยสำคัญสักเท่าไร ที่จะต้องมานั่งคิดว่า มันมีลักษณะอย่างไรกันแน่ ( ช่างมันเถอะ )
* การยึดทรัพย์ของผู้อื่น
* สิทธิในตัวบุคคล * บังคับคดีได้เฉพาะทรัพย์สินเท่านั้น
* บังคับได้เฉพาะทรัพย์ที่ลูกหนี้เป็นเจ้าของเท่านั้น * บังคับได้ทั้งทรัพย์สิน และ สิทธิเสรีภาพ
* สามารถบังคับคดี เอาแก่ ทรัพย์ที่เป็น ของผู้อื่น ได้ด้วย
ภาพรวมการดำเนินคดีแพ่งสามัญ และ คดีล้มละลาย
คดีแพ่ง
การยื่นฟ้องคดีล้มละลาย ( เฉพาะในระหว่างที่ ศาลล้มละลายภาคยังไม่เปิดทำการ ) ให้ยื่นต่อ ศาลชั้นต้นที่ ลูกหนี้มีภูมิลำเนา อยู่ในเขตศาล หรือ ประกอบธุรกิจ อยู่ในเขต ศาลต้นนั้น ต้องส่งคำฟ้อง ต่อไปยังศาลล้มละลาย เมื่อศาลล้มละลายรับฟ้องแล้ว ก็จะออกไปทำการไต่สวน นั่งพิจารณา และพิพากษาคดี ณ ศาลจังหวัดดังกล่าว ทีนี้ วิธีพิจารณาตามลำดับ ก็เริ่มด้วย การตรวจคำฟ้อง ซึ่งก็ใช้หลักกฎหมาย การตรวจคำคู่ความ ในคดีแพ่งสามัญนั่นเอง
หลังจากรับฟ้องแล้ว จะส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ลูกหนี้เพื่อทราบ ( เพื่อทราบไม่ใช่เพื่อแก้คดี ) ดังนั้น ในคดีล้มละลาย จำเลย หรือลูกหนี้ ไม่จำต้อง ยื่นคำให้การก็ได้ แต่ถ้าอยากจะยื่น ก็ไม่มีใครว่า ต่อมาก็มาเจอกัน ในวันนัดพร้อม ในคดีล้มละลาย ไม่ต้องชี้สองสถาน เพราะถือว่า คู่ความรู้หน้าที่ของตนแล้วว่า ใครต้องสืบอะไร แค่ไหน และอย่างไร และที่สำคัญ ไม่ต้องเถียงกันว่า ใครจะสืบก่อน เพราะโจทก์สืบก่อนเสมอ เช่นเดียวกับคดีอาญา พอถึงวันสืบพยาน เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ก็สืบซะให้พอ ( ถ้าสืบพยานโจทก์เสร็จ ศาลนัดฟังคำพิพากษา เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ คงต้องหนาวหน่อย แสดงว่า ศาลยกฟ้องแน่นอน ) สืบพยานโจทก์เสร็จ ก็สืบพยานจำเลยหรือพยานฝ่ายลูกหนี้นั่นแหละ เวลาชั่งนำหนักพยาน ศาลก็จะต้องนำกฎหมายล้มละลาย มาตรา 14 มากาง ถ้าเข้าเงื่อนไข ได้ความว่า ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว แถมไม่มีปัญญาชำระหนี้ และ ไม่มีเหตุ ที่ไม่ควรล้มละลาย ศาลจะมีคำสั่ง พิทักทรัพย์เด็ดขาด แต่ในทางตรงข้าม ถ้าทางพิจารณา ( การฟังพยานหลักฐานในคดี ) ได้ความว่า ลูกหนี้ยัง มีสินทรัพย์พอชำระหนี้ หรือ ทรัพย์ไม่มี มีแต่ความสามารถ ในการชำระหนี้ หรือมีเหตุอื่น ที่ไม่ควรล้มละลาย ศาลจะทำเป็นคำพิพากษา ( ไม่ใช่คำสั่ง ) ยกฟ้อง
กรณีที่ศาลมีคำสั่งพิทักทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพิ่งจะมีบทบาทในฉากนี้เอง ซึ่งสรุปแล้วช่วงนี้บุคคลที่เกี่ยวข้อง ก็จะมี ลูกหนี้ เจ้าหนี้ และ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ บุคคลต่างๆ จะมีหน้าที่ความรับผิดชอบ แตกต่างกันไป เช่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็มีหน้าที่โฆษณาคำสั่งนั้น ในราชกิจจานุเบกษา และใน หนังสือพิมพ์รายวัน ไม่น้อยกว่า 1 ฉบับ และมีหน้าที่รวบรวมและจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ ( รวบรวมเฉยๆ ยังขายไม่ได้ ต้องรอให้ลูกหนี้ล้มละลายก่อน ) ส่วนลูกหนี้ก็มีหน้าที่ ต้องรายงานตัวต่อ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ช่วง ๆ แรก ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับ ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมด ช่วงที่สอง ภายใน 7 วัน เพื่อ ชี้แจงเกี่ยวกับ กิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ( ถ้าลูกหนี้ฝ่าฝืน มีความผิด ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกิน 1,000 บาทหรือ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งปรับทั้งจำ ) นอกจากนี้ ถ้าลูกหนี้ประสงค์จะขอประนอมหนี้ ก็ต้องแจ้งไว้ด้วย เพื่อ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะได้เตรียมการ นัดไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยต่อไป สำหรับเจ้าหนี้ ก็มีหน้าที่ ต้องยื่น คำขอรับชำระหนี้ ภายใน 2 เดือนนับแต่ วันโฆษณา ( วันโฆษณาครั้งหลังสุด ) แม้จะเป็นเจ้าผู้เป็นโจทก์ ก็ต้องยื่น ไม่มีสิทธิพิเศษใดๆทั้งสิ้น ถ้าเจ้าหนี้คนใด หลงลืม หรือ ขี้เกียจยื่น เจ้าหนี้คนนั้น ก็เสียสิทธิ ในกองทรัพย์สิน ในคดีล้มละลาย
เมื่อครบกำหนดยื่นคำขอรับชำระหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะตรวจสอบเจ้าหนี้ด้วย ว่าใครเป็นเจ้าหนี้จริง เจ้าหนี้ ปลอม เจ้าหนี้สมยอม ในขณะเดียวกัน ถ้าลูกหนี้ต้องการขอประนอมหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ต้องนัดไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผย ก่อนการประชุมเจ้าหนี้ ซึ่งจะต้องมีการกำหนดหัวข้อในการประชุม เกี่ยวกับ การขอประนอมหนี้ ว่าจะยอมรับหรือไม่ หรือควรขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย และต้องปรึกษาถึงวิธีที่จะจัดการ ทรัพย์สินของลูกหนี้ มติของที่ประชุมเจ้าหนี้ จะมีผลต่อคำพิพากษาให้ ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่
ถ้าศาลเห็นว่า ลูกหนี้สมควรล้มละลายศาลก็จะพิพากษาให้ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ขายทอดตลาดทรัพย์ที่รวบรวมไว้ได้ ได้เงินมาก็นำไปเฉลี่ยชำระหนี้ ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ถ้าในช่วงเวลานี้ ลูกหนี้เกิดกลัว ( เพิ่งนึกได้ ) ที่จะล้มละลาย ลูกหนี้ก็มีสิทธิขอประนอมหนี้หลังล้มละลายได้ด้วย
หลังจากเป็นบุคคลล้มละลายไปได้สักพัก ลูกหนี้อาจหลุดจากการล้มละลายได้ หลายวิธี เช่น การยกเลิกการล้มละลาย การปลดจากการล้มละลาย หรือการพ้นจากการล้มละลาย ซึ่งวิธีสุดท้าย เป็นวิธีอัตโนมัติ ไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่ ทำตัวดีๆ ไม่เผลอตัว เผลอใจ เป็นคนล้มละลายทุจริต ก็ใช้ได้ คดีล้มละลาย ก็จบแบบ แฮบปี้ เอนดิ้ง แค่นี้เอง
เรื่องนี้ใครผิดใครถูก
เรื่องนี้เขียนขึ้นจากเรื่องที่มีคนเขามาเล่าให้ฟัง (อีกแล้ว) ค่ะว่า ตอนนี้มีคดีเกิดขึ้นจริงในเมืองไทยว่า บริษัทหนึ่งเขาไปฟ้องร้องช่างซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ว่าไปลบข้อมูลของบริษัท ซึ่งบรรจุอยู่ในฮาร์ดดิสก์ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายครับ ก็คือเขาฟ้องเป็นคดีแพ่งในฐานละเมิดนั่นล่ะครับ ผมในฐานะนักกฎหมายก็เลยลองวิเคราะห์ปัญหาเรื่องนี้ดูเล่น ๆ ค่ะว่า จริงๆ แล้วใครผิดใครถูก
ปัญหาข้างต้นมันคงเกิดขึ้นจากการที่บริษัทเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ไปซ่อมล่ะค่ะ แล้วทางช่างคงเห็นว่าหมดทางเยียวยาก็เลย format harddisk แล้วลงโปรแกรมใหม่ค่ะ พวก application ต่างๆ น่ะลงใหม่ได้ค่ะ แต่ file ข้อมูลต่าง ๆ ของบริษัทมันถูกลบไปหมดน่ะสิค่ะ แล้วจะทำยังไง รูปเรื่องที่บริษัทเขาจะฟ้องช่างก็คงเป็นว่า ช่างน่ะจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้ข้อมูลต่างๆ ในคอมพิวเตอร์สูญหายไปค่ะ ส่วนช่างซ่อมเขาก็คงโต้แย้งว่า อ้าว ข้อมูลของคุณคุณก็ต้อง backup ไว้สิ แล้วการที่เอาคอมพิวเตอร์มาให้ฉันซ่อมก็ย่อมคาดหมายได้อยู่แล้วว่าอาจต้องมีการ format harddisk แล้วทำให้ข้อมูลสูญหายไป การจะมากะเกณฑ์ให้ช่างทำ backup ข้อมูลให้ก็น่าจะเป็นการนอกเหนืออำนาจหน้าที่ ก็คงจะเถียงกันไปได้และมีเหตุผลทั้งคู่ค่ะ ไม่แน่ใจว่าศาลท่านจะวินิจฉัยว่าอย่างไร แต่ถ้าตัดสินออกมาแล้วก็คงจะเป็นบรรทัดฐานกับทั้งบริษัทและฝ่ายช่างค่ะว่า หน้าที่ในการ backup ข้อมูล ควรเป็นของใคร แล้วกรณีที่ช่างไม่ backup ข้อมูลก่อน format harddisk จะถือว่าเป็นการกระทำละเมิดหรือไม่
โดยความเห็นส่วนตัวของดิฉันแล้ว หลักที่ศาลท่านจะใช้วินิจฉัยน่าจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการทำงานของช่างซ่อม computer ค่ะว่าการ format harddisk น่ะเป็นวิธีการซ่อมตามปกติหรือเปล่า แล้วโดยทั่วไปก่อนจะลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์จะต้องถามเจ้าของเครื่องก่อนหรือไม่ ในฐานะที่ดิฉันก็มีโอกาสเป็นเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์กับเขาเหมือนกัน ดิฉันก็เห็นว่าก่อนช่างจะลบข้อมูลก็ควรถามดิฉันสักนิดค่ะว่าดิฉันน่ะ backup ข้อมูลไว้หรือยัง จะได้ไม่มีปัญหามาฟ้องร้องเรื่องกันทีหลังนะค่ะ
แหล่งที่มา
http://f16falcon.exteen.com/20050513/entry-17
ปัญหาข้างต้นมันคงเกิดขึ้นจากการที่บริษัทเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ไปซ่อมล่ะค่ะ แล้วทางช่างคงเห็นว่าหมดทางเยียวยาก็เลย format harddisk แล้วลงโปรแกรมใหม่ค่ะ พวก application ต่างๆ น่ะลงใหม่ได้ค่ะ แต่ file ข้อมูลต่าง ๆ ของบริษัทมันถูกลบไปหมดน่ะสิค่ะ แล้วจะทำยังไง รูปเรื่องที่บริษัทเขาจะฟ้องช่างก็คงเป็นว่า ช่างน่ะจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้ข้อมูลต่างๆ ในคอมพิวเตอร์สูญหายไปค่ะ ส่วนช่างซ่อมเขาก็คงโต้แย้งว่า อ้าว ข้อมูลของคุณคุณก็ต้อง backup ไว้สิ แล้วการที่เอาคอมพิวเตอร์มาให้ฉันซ่อมก็ย่อมคาดหมายได้อยู่แล้วว่าอาจต้องมีการ format harddisk แล้วทำให้ข้อมูลสูญหายไป การจะมากะเกณฑ์ให้ช่างทำ backup ข้อมูลให้ก็น่าจะเป็นการนอกเหนืออำนาจหน้าที่ ก็คงจะเถียงกันไปได้และมีเหตุผลทั้งคู่ค่ะ ไม่แน่ใจว่าศาลท่านจะวินิจฉัยว่าอย่างไร แต่ถ้าตัดสินออกมาแล้วก็คงจะเป็นบรรทัดฐานกับทั้งบริษัทและฝ่ายช่างค่ะว่า หน้าที่ในการ backup ข้อมูล ควรเป็นของใคร แล้วกรณีที่ช่างไม่ backup ข้อมูลก่อน format harddisk จะถือว่าเป็นการกระทำละเมิดหรือไม่
โดยความเห็นส่วนตัวของดิฉันแล้ว หลักที่ศาลท่านจะใช้วินิจฉัยน่าจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการทำงานของช่างซ่อม computer ค่ะว่าการ format harddisk น่ะเป็นวิธีการซ่อมตามปกติหรือเปล่า แล้วโดยทั่วไปก่อนจะลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์จะต้องถามเจ้าของเครื่องก่อนหรือไม่ ในฐานะที่ดิฉันก็มีโอกาสเป็นเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์กับเขาเหมือนกัน ดิฉันก็เห็นว่าก่อนช่างจะลบข้อมูลก็ควรถามดิฉันสักนิดค่ะว่าดิฉันน่ะ backup ข้อมูลไว้หรือยัง จะได้ไม่มีปัญหามาฟ้องร้องเรื่องกันทีหลังนะค่ะ
แหล่งที่มา
http://f16falcon.exteen.com/20050513/entry-17
ประวัติศาสตร์กฎหมายอาญาไทย
ประวัติศาสตร์กฎหมายอาญาไทยแม้ว่าตามแนวคิดและทฤษฎีของกฎหมายอาญา กฎหมายควรจะมีการบัญญัติขึ้นจากเจตจำนงค์ของประชาชน (ภาษาเยอรมัน Volkgeist) ก็ตาม แต่ในประเทศไทย ประมวลกฎหมายอาญาที่ใช้ในปัจจุบัน มิได้มีการบัญญัติขึ้นตามแนวคิดดังกล่าว หากแต่เป็นการเร่งรัดและรีบให้มีการออกกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้กฎหมายมีความเหมาะสมตามกาลสมัยที่พัฒนามาจาก กฎหมายลักษณะอาญา รศ.๑๒๗ เพื่อให้กฎหมายมีความทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ (ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย เป็นผู้ร่างประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีการประกาศใช้ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙)
[แก้] ประวัติศาสตร์กฎหมายอาญาสากล[แก้] หลักกฎหมายอาญาภาคทั่วไป1.กฎหมายอาญาต้องแน่นอนชัดเจนคือ “ถ้อยคำ” ในบทบัญญัติกม.อาญาต้องมีความชัดเจนหลีกเลี่ยงถ้อยคำที่จะทำให้การตัดสินคดีขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่เป็นอัตวิสัย และอำเภอใจผู้พิจารณาคดี
2.ห้ามใช้กฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง (การให้เหตุผลโดยอ้างความคล้ายคลึงกัน) ลงโทษทางอาญาแก่บุคคล
3.กฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังไปลงโทษการกระทำที่ผ่านมาแล้วเป็นกม.ที่ใช้ในขณะกระทำการนั้นกม.อาญาในที่นี้ คือ บทบัญญัติที่กำหนดเกี่ยวกับการกระทำผิดและโทษ (Nullum crimen, nulla peona sina lega หรือ No crime, no punishment without law)
4.กฎหมายอาญาต้องแปลหรือตีความโดยเคร่งครัด ความเข้าใจที่ว่าหากตีความตามตัวอักษรแล้วหากข้อความนั้นไม่ชัดเจนจึงค่อยพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ที่ถูกต้องคือ การตีความกฎหมายอาญาจะต้องตีความทั้งตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อมๆกัน โดยไม่สามารถเลือกตีความอย่างใดอย่างเพียงอย่างเดียวก่อนหรือหลังได้ การตีความกฎหมายดังที่กล่าวมาจึงอาจมีการตีความอย่างแคบหรืออย่างกว้างก็ได้ ทั้งนี้ เกิดจากการพิจารณาตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อมๆกัน โดยอาจกล่าวได้ว่ามีแต่การตีความกฎหมายนั้นมีแต่การตีความโดยถูกต้องเท่านั้น และการที่กฎหมายอาญาจะต้องตีความโดยเคร่งครัดนั้น หมายความว่า ห้ามตีความกฎหมายเกินตัวบท โดยในกรณีที่เกิดช่องว่างของกฎหมายขึ้นจากการตีความที่ถูกต้องแล้ว จะไม่สามารถนำกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง (Analogy) มาปรับใช้เพื่อลงโทษผู้กระทำได้
5.ห้ามใช้จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นลงโทษทางอาญาแก่บุคคล เพราะตัวบทมาตรา 2 ใช้คำว่า “บัญญัติ” และสอดคล้องกับข้อ 1 เพราะจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นเรื่องของแต่ละท้องถิ่น ไม่ชัดเจนแน่นอน แตกต่างจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
[แก้] ประเภทของความผิดความผิดทางอาญามี 2 ประเภทคือ
1.ความผิดในตัวเอง (ละติน: mala in se) คือความผิดที่คนทั่วไปเห็นชัดเจนว่าเป็นความผิดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
2.ความผิดเพราะกฎหมายห้าม (ละติน: mala prohibita) คือความผิดที่เกิดจากการที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิด โดยอาจมิได้เกี่ยวกับศีลธรรมเลย ซึ่งหากกล่าวถึงทฤษฎีกฎหมายสามยุค ความผิดเพราะกฎหมายห้ามอยู่ในยุคกฎหมายเทคนิค
[แก้] ลักษณะของการเกิดความผิดกฎหมายอาญาแบ่งลักษณะของการกระทำความผิดไว้ 3 ประเภทคือ
1.ความผิดโดยการกระทำ
2.ความผิดโดยการงดเว้นการกระทำ
3.ความผิดโดยการละเว้นการกระทำ
[แก้] สภาพบังคับของกฎหมายอาญาโทษทางอาญา เป็นสภาพบังคับหลักทางอาญาที่สามารถใช้ได้กับการกระทำที่เป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายอื่นด้วย ดุลยพินิจในการลงโทษ ที่ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดหนักเบาเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับทฤษฏีซึ่งเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการลงโทษ ซึ่งแยกได้ 2 ทฤษฏี คือ ทฤษฏีเด็ดขาด การลงโทษ คือ การตอบแทนแก้แค้นการกระทำผิด การลงโทษหนักเบาย่อมเป็นไปตามความร้ายแรงของความผิด และทฤษฏีสัมพันธ์ การลงโทษมีประโยชน์คือ เพื่อให้สังคมปลอดภัย โทษจึงทำหน้าที่ห้ามไม่ให้คนกระทำความผิด และในกรณีกระทำความผิดไปแล้ว โทษมีความจำเป็นเพื่อปรับปรุงให้ผู้กระทำความผิดนั้นกลับตัวกลับใจแก้ไขการกระทำผิดที่เคยเกิดขึ้นและสามารถกลับเค้าสู่สังคมอย่างเดิม
แหล่งที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2
ประวัติศาสตร์กฎหมายอาญาไทยแม้ว่าตามแนวคิดและทฤษฎีของกฎหมายอาญา กฎหมายควรจะมีการบัญญัติขึ้นจากเจตจำนงค์ของประชาชน (ภาษาเยอรมัน Volkgeist) ก็ตาม แต่ในประเทศไทย ประมวลกฎหมายอาญาที่ใช้ในปัจจุบัน มิได้มีการบัญญัติขึ้นตามแนวคิดดังกล่าว หากแต่เป็นการเร่งรัดและรีบให้มีการออกกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้กฎหมายมีความเหมาะสมตามกาลสมัยที่พัฒนามาจาก กฎหมายลักษณะอาญา รศ.๑๒๗ เพื่อให้กฎหมายมีความทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ (ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย เป็นผู้ร่างประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีการประกาศใช้ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙)
[แก้] ประวัติศาสตร์กฎหมายอาญาสากล[แก้] หลักกฎหมายอาญาภาคทั่วไป1.กฎหมายอาญาต้องแน่นอนชัดเจนคือ “ถ้อยคำ” ในบทบัญญัติกม.อาญาต้องมีความชัดเจนหลีกเลี่ยงถ้อยคำที่จะทำให้การตัดสินคดีขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่เป็นอัตวิสัย และอำเภอใจผู้พิจารณาคดี
2.ห้ามใช้กฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง (การให้เหตุผลโดยอ้างความคล้ายคลึงกัน) ลงโทษทางอาญาแก่บุคคล
3.กฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังไปลงโทษการกระทำที่ผ่านมาแล้วเป็นกม.ที่ใช้ในขณะกระทำการนั้นกม.อาญาในที่นี้ คือ บทบัญญัติที่กำหนดเกี่ยวกับการกระทำผิดและโทษ (Nullum crimen, nulla peona sina lega หรือ No crime, no punishment without law)
4.กฎหมายอาญาต้องแปลหรือตีความโดยเคร่งครัด ความเข้าใจที่ว่าหากตีความตามตัวอักษรแล้วหากข้อความนั้นไม่ชัดเจนจึงค่อยพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ที่ถูกต้องคือ การตีความกฎหมายอาญาจะต้องตีความทั้งตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อมๆกัน โดยไม่สามารถเลือกตีความอย่างใดอย่างเพียงอย่างเดียวก่อนหรือหลังได้ การตีความกฎหมายดังที่กล่าวมาจึงอาจมีการตีความอย่างแคบหรืออย่างกว้างก็ได้ ทั้งนี้ เกิดจากการพิจารณาตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อมๆกัน โดยอาจกล่าวได้ว่ามีแต่การตีความกฎหมายนั้นมีแต่การตีความโดยถูกต้องเท่านั้น และการที่กฎหมายอาญาจะต้องตีความโดยเคร่งครัดนั้น หมายความว่า ห้ามตีความกฎหมายเกินตัวบท โดยในกรณีที่เกิดช่องว่างของกฎหมายขึ้นจากการตีความที่ถูกต้องแล้ว จะไม่สามารถนำกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง (Analogy) มาปรับใช้เพื่อลงโทษผู้กระทำได้
5.ห้ามใช้จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นลงโทษทางอาญาแก่บุคคล เพราะตัวบทมาตรา 2 ใช้คำว่า “บัญญัติ” และสอดคล้องกับข้อ 1 เพราะจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นเรื่องของแต่ละท้องถิ่น ไม่ชัดเจนแน่นอน แตกต่างจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
[แก้] ประเภทของความผิดความผิดทางอาญามี 2 ประเภทคือ
1.ความผิดในตัวเอง (ละติน: mala in se) คือความผิดที่คนทั่วไปเห็นชัดเจนว่าเป็นความผิดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
2.ความผิดเพราะกฎหมายห้าม (ละติน: mala prohibita) คือความผิดที่เกิดจากการที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิด โดยอาจมิได้เกี่ยวกับศีลธรรมเลย ซึ่งหากกล่าวถึงทฤษฎีกฎหมายสามยุค ความผิดเพราะกฎหมายห้ามอยู่ในยุคกฎหมายเทคนิค
[แก้] ลักษณะของการเกิดความผิดกฎหมายอาญาแบ่งลักษณะของการกระทำความผิดไว้ 3 ประเภทคือ
1.ความผิดโดยการกระทำ
2.ความผิดโดยการงดเว้นการกระทำ
3.ความผิดโดยการละเว้นการกระทำ
[แก้] สภาพบังคับของกฎหมายอาญาโทษทางอาญา เป็นสภาพบังคับหลักทางอาญาที่สามารถใช้ได้กับการกระทำที่เป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายอื่นด้วย ดุลยพินิจในการลงโทษ ที่ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดหนักเบาเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับทฤษฏีซึ่งเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการลงโทษ ซึ่งแยกได้ 2 ทฤษฏี คือ ทฤษฏีเด็ดขาด การลงโทษ คือ การตอบแทนแก้แค้นการกระทำผิด การลงโทษหนักเบาย่อมเป็นไปตามความร้ายแรงของความผิด และทฤษฏีสัมพันธ์ การลงโทษมีประโยชน์คือ เพื่อให้สังคมปลอดภัย โทษจึงทำหน้าที่ห้ามไม่ให้คนกระทำความผิด และในกรณีกระทำความผิดไปแล้ว โทษมีความจำเป็นเพื่อปรับปรุงให้ผู้กระทำความผิดนั้นกลับตัวกลับใจแก้ไขการกระทำผิดที่เคยเกิดขึ้นและสามารถกลับเค้าสู่สังคมอย่างเดิม
แหล่งที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)